คือว่า เมื่อสองปีก่อนมี teacher ให้สร้างบล็อคขึ้นมาเพื่อทำงานในวิชาคอมพิวเตอร์ ก็เลยทำ แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ถงได้ทำเรื่องอาหาร และจำไม่ได้ว่าตัวเองทำเป็นได้ยังไง ตอนนี้อยู่ปี2แล้ว ได้ย้อนกลับมาดูก็รู้สึกคิดถึงมากๆเลย บ่องตง #SWR4 #sinceiwasstudiedingrade12 #memories
FOODfood
by. Phurinut Chaisirilarp 12B no.8
Wednesday, 14 January 2015
Thursday, 31 January 2013
เปิดตำนานคนกินเนื้อคน CANNIBALISM คนกินเนื้อคน เรื่องลึกลับ
cannibal คือ พฤติกรรมที่สิ่งมีชีวิตกินเนื้อพวกเดียวก ันเอง เช่น คนกินเนื้อคน
หมากินเนื้อหมา ปลากินเนื้อปลาสายพันธุ์เดียวกัน
โดยปกติแล้วสิ่งมีชีวิตมักจะเลี่ยงพฤติกรรมการกินเนื ้อพวกเดียวกัน
เพราะจะมีโอกาศติดโรคที่มีเฉพาะในสายพันธุ์เดียวกันไ ด้สูงมาก
และค่อยๆสูญพันธุ์กันไป เช่นพวกซาลามานเดอร์บางสายพันธุ์ที่ชอบกินเนื้อพวกเด ียวกัน
เมื่อมีตัวอื่นตายด้วยโรค ตัวที่ไปกินจะพลอยติดโรคไปด้วย
ทำให้ค่อยๆทยอยสูญพันธุ์กันไป
ในมนุษย์พฤติกรรมเหล่านี้มีมาตั้งแต่ในอดีตและยังเหล ืออยู่บ้างในบางชนเผ่า เช่นในแถบลุ่มน้ำอเมซอน อินโดนีเซีย แอฟริกา แคริเรียน ฟิจิ และนิวกีนี
สาเหตุสาเหตุพฤติกรรมกินเนื้อคนนี้มีด้วยกันหลายสาเห ตุเช่น การขาดแคลนอาหาร ลัทธิความเชื่อทางศาสนา สาเหตุทางการทหาร และอาการทางจิตประสาท ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีหลักฐานชัดเจนและมีบันทึกในช่ วงบุกเบิกอเมริกา เช่นDonny Party ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางตั้งรกรากในอเมริกาแล้วติดพา ยุหิมะทำให้ขาดแคลนอาหาร หลังจากมีสมาชิกเสียชีวิตไปสองคนDonnyและพวกจึกตัดสิ นใจว่าจะรับประทานเจ้าสองนั่นเป็นอาหาร แต่มีชาวอินเดียแดงที่เป็นคนนำทางคัดค้าน จึงถูกสอยร่วงไปสองคน กลายเป็น4ชีวิต ที่เหลือก็กินกันเปรมรอดชีวิตจนมีคนมาช่วยได้ หลังจากนั้นจึงมีการตัดสินว่าDonnyและพวกมีความผิดหร ือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตัดสินว่าไม่มีความผิด ส่วนอีก2คนที่ตายเพิ่มเป็นอินเดียแดงเลยช่างมันไป
นอกจากเรื่องขาดเคลนอาหาร ก็มีเรื่องพฤติกรรมในท้องถิ่น เช่น พวกเผ่ากินคนตามป่าดงดิบ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะการจัดการกับพวกเผ่าอื่นที่เข้ามา รุกราน แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แบ่งสรรปันส่วนทานเข้าไปทั้งตัว แต่จะแล่เนื้อบางๆมาแบ่งกันกิน เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายของผู้ตายตามมารังคราญ หรือบางทีก็เชื่อว่าทานเนื้อผู้ตายแล้วจะเสริมสร้างพ ละกำลัง และอำนาจให้กับตัวเองด้วย
ภาพประกอบจากภาพยนต์เรื่องเปรตเดินดินกินเนื้อคน
สำหรับความเชื่อเรื่องกินเนื้อคนเข้าไปแล้วจะมีพลังว ังชาเพิ่มขึ้นมีให้เห็นโดยเฉพาะในหมู่ประเทศจีน ที่ชอบรับประทานอาหารแปลกๆ โดยเฉพาะตับ มักมีหมอยาเถื่อนซื้อตับนักโทษมาบดเป็นยา หรือการนำเลือดคนมาดื่มและอาบเพื่อให้ตัวเองหนุ่มสาว ขึ้น สำหรับพวกที่กินรกเด็กเพื่อเป็นยาก็จัดว่าเป็นCannib alismแบบหนึ่งเหมือนกัน
ความเชื่อของชาวจีนที่ว่าการนำทารกมาปรุงเป็นอาหารเพ ื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ
ในลักษณะการกินเนื้อคนเพื่อการทหารมีในแถบประเทศตะวั นออก ที่มักจะแสดงการกินเลือดเนื้อของศัตรูให้เห็นเพื่อข่ มขวัญ บางพวกก็กินเพื่อความแค้น เช่น เหตุการณ์ไม่สงบจีนตอนปลายราชวงศ์หมิง มีขันทีทรราชถูกประหารโดยวิธีใช้ม้าแยกร่าง แล้วนำเลือดและเนื้อแจกให้คนที่แค้นกิน นอกจากความแค้นก็ยังมีเรื่องความรักที่อยากอยู่ด้วยก ันทั้งตายและเป็น ก็เลยกินคนตายทั้งตัวเลยก็มี
สำหรับเรื่องลัทธิทางศาสนาก็มีให้เห็นบ่อยในพวกSatan istบางกลุ่ม ที่นิยมนำสมาชิกหรือลักพาตัวคนนอกมาบูชายัญ แล้วแหวะกินกันสดๆบ้างนำไปอบมาแบ่งกันกินบ้าง ซึ่งพวกนี้ก็จะทำด้วยความบ้าคลั่ง ส่วนคนที่ถูกบูชายัญมีทั้งเด็กเล็กๆและคนจรจัด สำหรับคนจรจัดพอหายไปแถบไม่มีใครรู้ คนกลุ่มนี้จึงสามารถหลบสายตาของตำรวจได้ ถ้าไม่มีคนบังเอิญไปเห็นตอนทำพิธีเข้าก่อน
สุดท้ายก็เป็นพวกโรคจิตที่รู้จักกันดี ก็คือซีอุย ฆาตกรต่อเนื่องในไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วก็มีอีกหลายรายในไทยที่ฆ่าคนเพื่อกินเนื้อ อย่างฆาตกรทุบหัวคนข้างบ้านลอกเอาหนังศีรษะมากินกันส ดๆ ตอนตำรวจมาจับนี่ยังกินอยู่เลย หรือข่าวพี่ฆ่าน้องแขวนคอกับต้นไม้แล้วก็ควักเอาตับก ับหัวใจไปจิ้มพริกกับเกลือกิน ทำเอาพ่อแม่ร้องไห้โฮเลย
ในมนุษย์พฤติกรรมเหล่านี้มีมาตั้งแต่ในอดีตและยังเหล ืออยู่บ้างในบางชนเผ่า เช่นในแถบลุ่มน้ำอเมซอน อินโดนีเซีย แอฟริกา แคริเรียน ฟิจิ และนิวกีนี
สาเหตุสาเหตุพฤติกรรมกินเนื้อคนนี้มีด้วยกันหลายสาเห ตุเช่น การขาดแคลนอาหาร ลัทธิความเชื่อทางศาสนา สาเหตุทางการทหาร และอาการทางจิตประสาท ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีหลักฐานชัดเจนและมีบันทึกในช่ วงบุกเบิกอเมริกา เช่นDonny Party ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางตั้งรกรากในอเมริกาแล้วติดพา ยุหิมะทำให้ขาดแคลนอาหาร หลังจากมีสมาชิกเสียชีวิตไปสองคนDonnyและพวกจึกตัดสิ นใจว่าจะรับประทานเจ้าสองนั่นเป็นอาหาร แต่มีชาวอินเดียแดงที่เป็นคนนำทางคัดค้าน จึงถูกสอยร่วงไปสองคน กลายเป็น4ชีวิต ที่เหลือก็กินกันเปรมรอดชีวิตจนมีคนมาช่วยได้ หลังจากนั้นจึงมีการตัดสินว่าDonnyและพวกมีความผิดหร ือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตัดสินว่าไม่มีความผิด ส่วนอีก2คนที่ตายเพิ่มเป็นอินเดียแดงเลยช่างมันไป
นอกจากเรื่องขาดเคลนอาหาร ก็มีเรื่องพฤติกรรมในท้องถิ่น เช่น พวกเผ่ากินคนตามป่าดงดิบ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะการจัดการกับพวกเผ่าอื่นที่เข้ามา รุกราน แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แบ่งสรรปันส่วนทานเข้าไปทั้งตัว แต่จะแล่เนื้อบางๆมาแบ่งกันกิน เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายของผู้ตายตามมารังคราญ หรือบางทีก็เชื่อว่าทานเนื้อผู้ตายแล้วจะเสริมสร้างพ ละกำลัง และอำนาจให้กับตัวเองด้วย
ภาพประกอบจากภาพยนต์เรื่องเปรตเดินดินกินเนื้อคน
สำหรับความเชื่อเรื่องกินเนื้อคนเข้าไปแล้วจะมีพลังว ังชาเพิ่มขึ้นมีให้เห็นโดยเฉพาะในหมู่ประเทศจีน ที่ชอบรับประทานอาหารแปลกๆ โดยเฉพาะตับ มักมีหมอยาเถื่อนซื้อตับนักโทษมาบดเป็นยา หรือการนำเลือดคนมาดื่มและอาบเพื่อให้ตัวเองหนุ่มสาว ขึ้น สำหรับพวกที่กินรกเด็กเพื่อเป็นยาก็จัดว่าเป็นCannib alismแบบหนึ่งเหมือนกัน
ความเชื่อของชาวจีนที่ว่าการนำทารกมาปรุงเป็นอาหารเพ ื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ
ในลักษณะการกินเนื้อคนเพื่อการทหารมีในแถบประเทศตะวั นออก ที่มักจะแสดงการกินเลือดเนื้อของศัตรูให้เห็นเพื่อข่ มขวัญ บางพวกก็กินเพื่อความแค้น เช่น เหตุการณ์ไม่สงบจีนตอนปลายราชวงศ์หมิง มีขันทีทรราชถูกประหารโดยวิธีใช้ม้าแยกร่าง แล้วนำเลือดและเนื้อแจกให้คนที่แค้นกิน นอกจากความแค้นก็ยังมีเรื่องความรักที่อยากอยู่ด้วยก ันทั้งตายและเป็น ก็เลยกินคนตายทั้งตัวเลยก็มี
Cannibalismที่เกิดจากสงครามระหว่างศาสนาในอินโดนีเซ ีย
สำหรับเรื่องลัทธิทางศาสนาก็มีให้เห็นบ่อยในพวกSatan istบางกลุ่ม ที่นิยมนำสมาชิกหรือลักพาตัวคนนอกมาบูชายัญ แล้วแหวะกินกันสดๆบ้างนำไปอบมาแบ่งกันกินบ้าง ซึ่งพวกนี้ก็จะทำด้วยความบ้าคลั่ง ส่วนคนที่ถูกบูชายัญมีทั้งเด็กเล็กๆและคนจรจัด สำหรับคนจรจัดพอหายไปแถบไม่มีใครรู้ คนกลุ่มนี้จึงสามารถหลบสายตาของตำรวจได้ ถ้าไม่มีคนบังเอิญไปเห็นตอนทำพิธีเข้าก่อน
สุดท้ายก็เป็นพวกโรคจิตที่รู้จักกันดี ก็คือซีอุย ฆาตกรต่อเนื่องในไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วก็มีอีกหลายรายในไทยที่ฆ่าคนเพื่อกินเนื้อ อย่างฆาตกรทุบหัวคนข้างบ้านลอกเอาหนังศีรษะมากินกันส ดๆ ตอนตำรวจมาจับนี่ยังกินอยู่เลย หรือข่าวพี่ฆ่าน้องแขวนคอกับต้นไม้แล้วก็ควักเอาตับก ับหัวใจไปจิ้มพริกกับเกลือกิน ทำเอาพ่อแม่ร้องไห้โฮเลย
อาหารสุดฮิตที่เคยถูกมองว่าน่าขยะแขยง
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ลิ้มรสชาติและยกนิ้วให้กับรสชาติ และความอร่อย
บางอันต้องจ่ายด้วยราคาแพงๆถึงจะได้ทาน เชื่อหรือไม่ ว่ามันเคยถูกมองว่า...ต่ำ
บางอันนี่แทบไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเลยนะคะ ไปดูกันดีกว่าค่ะ
กุ้งลอบสเตอร์หรือกุ้งมังกร (Lobster)
เป็นเรื่องยาก จะให้เชื่อว่ากุ้งมังกรสีสันแดงสดใสรสชาติอร่อยหวานฉ่ำลิ้นนั้นครั้งหนึ่งเคยมีคนดูถูกว่าเป็นอาหารชั้นต่ำ กับอาหารทะเลแสนหรูหรา ราคาแพงนี้ ครั้งหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนืออุดมไปด้วยกุ้งชนิดนี้มากมายหลายพันธุ์ตัวแบบว่าหว่านแหเมื่อไหร่เจอแต่กุ้งชนิดอยู่อยู่แต่เอี๊ยด
...อนิจจา.....พวกเขาเห็นพวกมันเป็นเพียงส่วนเกินที่ไม่มีค่า เพราะสมัยนั้นไก่เป็นอาหารชั้นสูงมากกว่าอาหารทะเล
อีกทั้งคนหลายคนเรียกมันว่า “แมลงทะเล” เชื่อว่ามันจัดอยู่ในสัตว์จำพวกแมงมุมยักษ์
(กุ้งจัดในไฟลัมสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชั้น Crustacea อันดับ Decapoda)
ดังนั้นคนจึงเกลียดชังในการเอากุ้งชนิดนี้มาทำอาหารจึงทำเป็นปุ๋ยแทน....(โอ..เสียดายแย่)
เมนูของคนจนสมัยก่อนจะเต็มไปด้วยกุ้งมังกรทั้งนั้น การดูหมิ่นกุ้งมังกรนี้มานานกว่าศตวรรษ กว่าจะทำให้หลายคนยอมรับได้
ตอนนี้กุ้งลอบสเตอร์กลายเป็นของหายากสุดๆ และกลายเป็นของมีราคาแพงมาก บางตัวราคาพัน-หมื่นกว่าบาท(ตามกิโล) และตอนนี้ไก่กลับเป็นอาหารที่หาซื้อได้ตามตลาดข้างบ้านทั่วไป
กุ้งลอบสเตอร์หรือกุ้งมังกร (Lobster)
เป็นเรื่องยาก จะให้เชื่อว่ากุ้งมังกรสีสันแดงสดใสรสชาติอร่อยหวานฉ่ำลิ้นนั้นครั้งหนึ่งเคยมีคนดูถูกว่าเป็นอาหารชั้นต่ำ กับอาหารทะเลแสนหรูหรา ราคาแพงนี้ ครั้งหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนืออุดมไปด้วยกุ้งชนิดนี้มากมายหลายพันธุ์ตัวแบบว่าหว่านแหเมื่อไหร่เจอแต่กุ้งชนิดอยู่อยู่แต่เอี๊ยด
...อนิจจา.....พวกเขาเห็นพวกมันเป็นเพียงส่วนเกินที่ไม่มีค่า เพราะสมัยนั้นไก่เป็นอาหารชั้นสูงมากกว่าอาหารทะเล
อีกทั้งคนหลายคนเรียกมันว่า “แมลงทะเล” เชื่อว่ามันจัดอยู่ในสัตว์จำพวกแมงมุมยักษ์
(กุ้งจัดในไฟลัมสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชั้น Crustacea อันดับ Decapoda)
ดังนั้นคนจึงเกลียดชังในการเอากุ้งชนิดนี้มาทำอาหารจึงทำเป็นปุ๋ยแทน....(โอ..เสียดายแย่)
เมนูของคนจนสมัยก่อนจะเต็มไปด้วยกุ้งมังกรทั้งนั้น การดูหมิ่นกุ้งมังกรนี้มานานกว่าศตวรรษ กว่าจะทำให้หลายคนยอมรับได้
ตอนนี้กุ้งลอบสเตอร์กลายเป็นของหายากสุดๆ และกลายเป็นของมีราคาแพงมาก บางตัวราคาพัน-หมื่นกว่าบาท(ตามกิโล) และตอนนี้ไก่กลับเป็นอาหารที่หาซื้อได้ตามตลาดข้างบ้านทั่วไป
10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า
เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน
และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน
ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2
ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย
ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว
เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ
ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง
แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน
และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6.
สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง
เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย
รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า
ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์
ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ
ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี
คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ
สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท
อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน
มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา
การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง
เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย
ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน
ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ
หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ
แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย
สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
Wednesday, 30 January 2013
ผลไม้น่ากั๊ว กินแล้วอ้วนแน่นอน
ผลไม้น่ากั๊ว กินแล้วอ้วนแน่นอน
การกินผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้อ้วนได้
ผลไม้กินแล้วอ้วนฉุ หนีไม่พ้นทุเรียน
ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ กล้วยไข่
อันดับ 2 คือ กล้วยน้ำว้า
อันดับ 3 คือ ขนุน
อันดับ 4 คือ กล้วยหอม
อันดับ 5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว
อันดับ 7 คือ ลองกอง
อันดับ 8 คือ เงาะ
อันดับ 9 คือ ลางสาด
อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด
ผลไม้กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน : แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม
เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ฟรุตสลัด
เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ฟรุตสลัด
เมนู อาหารหวานที่เอาใจคนรักสุขภาพ คงหนีไม่พ้นผักและผลไม้ใช่ไหมล่ะค่ะ งั้นลองเปลี่ยนผัก ผลไม้ ที่ทานอยู่เป็นประจำเป็นอาหารจานพิเศษที่มีหลายๆ อย่างรวมกัน ก็น่าจะดีใช่ไหมล่ะค่ะ งั้นเราไปลองทำฟรุทสลัด เมนูอาหารเพื่อสุขภาพกันดีกว่าค่ะ นอกจากจะได้ประโยชน์แล้ว ยังได้วิตามินจากผลไม้หลายชนิดเลยล่ะค่ะ
ส่วนผสม- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
- น้ำสะอาด 3/4 ถ้วยตวง
- เกลือป่น1/2 ช้อนชา
- น้ำเย็นจัด 3/4 ถ้วยตวง
- น้ำมะนาว1/4 ถ้วยตวง
- เหล้ารัม หรือไวน์ 1/4 ถ้วยตวง
- ผลไม้ตามฤดูกาลเท่าที่หาได้ เช่น สับปรด แห้ว กล้วย องุ่น แตงโม แตงไทย ส้ม มะละกอ ฝรั่ง ลูกชิด รวมๆกัน 5 ถ้วยตวง
- ต้มน้ำตาลทรายกับน้ำให้เป็นน้ำเชื่อม
- ใส่เกลือป่นลงไป แล้วรอสักพักให้น้ำเชื่อมเย็นลง
- เติมน้ำเย็นจัดๆ น้ำมะนาว เหล้ารัม ผลไม้ที่เตรียมไว้(ขนาดพอคำ) ลงไป
- แช่ตู้เย็นทิ้งไว้ให้เย็นตลอดเวลา เวลาทานให้นำน้ำแข็งป่นใส่ลงไปด้วย
รณรงค์ลดการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด
ปัจจุบันวิกฤติโรคอ้วนทวีความรุนแรงขึ้นทุกประเทศทั่วโลก อาหารที่เราบริโภคมีปริมาณแคลอรี่สูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งสวนทางกับการใช้พลังงานทางร่างกายที่ลดน้อยลง อาหารฟาสต์ฟู้ดมีคุณค่าสารอาหารของแร่ธาตุต่างๆค่อนข้างตํ่า มีส่วนประกอบของกากใยอาหารน้อย บางชนิดมีเกลือโซเดียมมากเกินความต้องการของร่างกาย มีปริมาณไขมันที่สูง และโปรตีนที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เป็นโรคอ้วนและโรคอื่นๆตามมา เราสามารถสามารถป้องกันได้โดยมีโภชนาการที่ดี และออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอ
8 อาหาร ดีสำหรับแม่ตั้งครรภ์
อาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับว่าที่คุณแม่ ทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์
และคุณแม่มือใหม่ที่จะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
ความเข้าใจและรู้จักอาหารการกินอย่างถูกต้องเหมาะสมและจำเป็นอย่างยิ่ง
1.กินอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเป็นแม่ สิ่งที่คุณแม่ต้องทำโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน คือ
1)กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
2)ควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น นม กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย งาดำ เป็นต้น เพื่อจะได้เสริมสร้างกระดูกของคุณแม่ให้แข็งแรง
3)กินกรดโฟลิกเพื่อบำรุงเลือด โดยเฉพาะคุณแม่ที่อยากจะมีลูก คุณหมอจะแนะนำให้กินกรดโฟลิกเป็นประจำอย่างต่อเนื่องวันละ 400 ไมโครกรัม เป็นเวลา 12 สัปดาห์
2.อาหารบำรุงเลือด
คืออาหารที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและดูดซึมธาตุเหล็ก ได้แก่
1) ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางของคุณแม่ได้ พบในตับ ไข่แดง เนื้อแดง งา ถั่วแดง ขนมปังโฮลวีต ลูกพรุน ผักโขม ถั่วลันเตา สาหร่ายทะเล เป็นต้น
2) โปรตีน ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ให้มากขึ้น และยังสร้างโปรตีนของเม็ดเลือดแดงได้ด้วย แหล่งอาหารที่มีโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาทิ หมู ไก่ กุ้ง ปลา และเนื้อ เป็นต้น
3) โฟเลต อาหารเริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้แก่ บร็อกโคลี แคนตาลูป ตับ เนื้อแดง ผักโขม ผักกาดหอม และหน่อไม้ฝรั่ง
4) ทองแดง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี พบในตับลูกพรุนแห้ง เมล็ดทานตะวัน เต้าหู้แข็ง ช็อกโกแลต เป็นต้น
3.อาหารแก้แพ้ท้อง
เมื่อตั้งครรภ์จะกินอะไรก็ลำบาก เพราะกินไปแต่ละทีก็มีแต่อาเจียนออกมา ทำอย่างไรถึงจะหายแพ้ ลองแก้ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ
1) แบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ หลาย ๆ มื้อ เพื่อแก้อาการอยากอาเจียนและเบื่ออาหารของแม่ท้อง
2) จิบน้ำขิงบ่อย ๆ ทีละน้อย เพราะน้ำขิงสามารถแก้อาการคลื่นไส้ได้
3) ติดของว่างไว้ใกล้ๆ ตัว ประเภทขนมปังขิง ขนมปังกรอบ หรือซีเรียลแท่งเล็ก ๆ จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ โดยเฉพาะช่วงที่ตื่นนอนตอนเช้าและกลางคืนดึก ๆ
4.ไขมันและคาร์ไบไฮเดรตนั้นสำคัญ
คุณแม่หลายคนที่กลัวอ้วนมักงดอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะไขมันมีประโยชน์และช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกในครรภ์ โดยเฉพาะไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หรือไขมันจากพืช เมล็ดพืช เช่น อโวคาโด พืชตระกูลถั่วเมล็ดทานตะวัน ส่วนไขมันจากปลาก็ได้แก่ ปลาที่ไม่ติดส่วนมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น
ขณะที่ คาร์โบไฮเดรต คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับพลังงานมากกว่าผู้หญิงทั่วไปถึง 300-500 กิโลแคลอรี ซึ่งแหล่งพลังงานส่วนใหญ่ ก็มาจากแป้ง ข้าว น้ำตาล และผลไม้ ดังนั้น คุณแม่ควรกินอาหารประเภทที่มีกากใยโปรตีน ใยอาหาร เกลือแร่ และวิตามิน รวมอยู่ด้วย อันได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผลไม้ ที่มีกากใย และธัญพืชต่าง ๆ ฯลฯ
5.กินผัก เพื่อลูก
คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนไม่ชอบกินผัก แต่ยามนี้ ผักมีประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ค่ะ ดังนั้นจึงควรพยายามกินให้ได้นะคะ
1) ผักสีเขียว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ขับถ่ายง่าย เริ่มจากผักบุ้งถือเป็นผักที่กินง่ายที่สุด จากนั้นค่อยๆ ไล่ระดับไปจากผักบุ้งเป็นผักตำลึง บร็อกโคลี ผักกาด ผักคะน้า ไปเรื่อยๆ
2) ผักสีขาว ช่วยต้านมะเร็งและช่วยย่อยอาหาร เช่น ผักกาดขาว หัวไชเท้า ที่นำมาทำน้ำซุป และรสหวานไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวทำให้กินได้ง่าย
3) ผักสีส้ม ได้แก่ แครอต ฟักทอง โดยเฉพาะฟักทองนำมาทำเป็นของหวานก็ได้ หากคุณแม่ไม่ชอบอาหารคาว แต่ต้องระวังความหวานจากน้ำตาลที่ใช้ประกอบด้วย
4) ผักสีแดง คุณสมบัติคือช่วยชะลอความแก่ ได้แก่ มะเขือเทศ บีตรูต พริกหวาน
5) ผักสีม่วง ป้องกันอันตรายที่สะสมในเส้นเลือดและป้องกันโรคหัวใจ ได้แก่ กะหล่ำปลีสีม่วง และมะเขือม่วง
6.กินอะไร ให้เหมาะแต่ละไตรมาส
ไตรมาสแรก : 1-3 เดือน
ช่วงนี้คุณแม่ต้องการพลังงานมากขึ้น สามารถกินอาหารได้ตามปกติ แต่ให้เน้นเมนูผักเป็นหลัก เพราะผักจะช่วยการย่อย และระบบขับถ่าย หากมีอาการคลื่นไส้ ผลไม้รสเปรี้ยวช่วยได้ค่ะ
ส่วนเครื่องดื่ม ควรเป็นน้ำผลไม้สด เช่น น้ำแตงโม น้ำส้ม แบบคั้นสดนะคะ ไม่ควรปั่น เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินได้
ไตรมาสที่ 2 : 3-6 เดือน
ควรเน้นผักใบเขียวมากขึ้น โดยเฉพาะที่มีวิตามินสูง เช่น บร็อกโคลี คะน้า ผักบุ้ง แครอต ถั่วงอก มะเขือเทศ
ช่วงนี้ลูกน้อยกำลังเจริญเติบโต ฉะนั้นอาหารบำรุงลูกน้อย อย่างโอเมก้า 3 พวกปลาทะเล และถั่วบางชนิดก็มีความสำคัญค่ะ
คุณแม่ท้องช่วงนี้ อาจจะมีอาการท้องอืดบ้าง การดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิง น้ำตะไคร้ จะช่วยการระบายได้เป็นอย่างดี
ไตรมาสที่ 3 : 6-9 เดือน
ใกล้คลอดเข้าไปทุกทีแล้ว คุณแม่อาจเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก อาหารที่ควรกินคืออาหารที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย และเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง อาทิ บร็อกโคลี แคนตาลูป ตับ เนื้อแดง ผักโขม ผักกาดหอม และหน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
7.อาหารต้องห้ามยามท้อง
1) อาหารรสเผ็ด เพราะยิ่งเผ็ดอุณหภูมิในร่างกายยิ่งร้อน คุณแม่จะยิ่งหงุดหงิดอาจส่งผลให้ร้อนในและลำไส้อักเสบได้
2) อาหารหนัก ๆ ย่อยยาก แคลอรีสูง เช่น เค้ก พิซซ่า โดนัท น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายทำงานหนักและเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายอีก
3) อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ไข่ดิบ เนื้อปลา ซูซิ สเต๊กบางอย่างหอยนางรม อาจจะมีสารพิษหรือเชื้อโรคตกค้างอยู่ แม่ท้องกินเข้าไปก็อาจติดเชื้อโรคและเป็นอันตรายได้
4) นมและเนย ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
5) ของหมักดอง ทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย โซเดียมสูง
6) น้ำชา กาแฟ ยิ่งดื่มมาก ร่างกายยิ่งต้องขับน้ำออกมามาก และปัญหาที่ตามมาคือคุณแม่อาจท้องผูกได้
7) ถั่วลิสง ควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วลิสงระหว่างตั้งครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้ลูกเกิดมาเป็นโรคภูมิแพ้ได้
8) ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาสมองของลูกในครรภ์
8.ใกล้คลอด หลังคลอด เพิ่มน้ำนม
เมื่อใกล้คลอด อาหารที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่คืออาหารที่มีรสร้อน เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้มีน้ำนมมากขึ้น ฉะนั้นช่วงนี้คุณแม่ควรกินอาหารที่เน้นน้ำนมเป็นหลัก ซึ่งสมุนไพรไทยหลาย ๆ อย่าง ก็มีสรรพคุณเป็นอาหารรสร้อน เช่น หัวปี ใบกะเพรา กุยช่าย กานพลู มะละกอ ฟักทอง ขิง และใบแมงลัก ซึ่งอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน เหล็ก วิตามินซี โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี เป็นต้น
เมนูแนะนำคือ แกงเลียง ผัดกะเพรา ยำหัวปลี แกงป่าฟักทองผัดไข่ ฟักทองแกงบวด ไก่ผัดขิง ฯลฯ ที่อุดมไปด้วย แคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก อสฟอรัส วิตามินซี เบต้า แคโรทีน ช่วยบำรุงเลือด และทำให้มีน้ำนมเยอะค่ะ
1.กินอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเป็นแม่ สิ่งที่คุณแม่ต้องทำโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน คือ
1)กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม
2)ควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น นม กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย งาดำ เป็นต้น เพื่อจะได้เสริมสร้างกระดูกของคุณแม่ให้แข็งแรง
3)กินกรดโฟลิกเพื่อบำรุงเลือด โดยเฉพาะคุณแม่ที่อยากจะมีลูก คุณหมอจะแนะนำให้กินกรดโฟลิกเป็นประจำอย่างต่อเนื่องวันละ 400 ไมโครกรัม เป็นเวลา 12 สัปดาห์
2.อาหารบำรุงเลือด
คืออาหารที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและดูดซึมธาตุเหล็ก ได้แก่
1) ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางของคุณแม่ได้ พบในตับ ไข่แดง เนื้อแดง งา ถั่วแดง ขนมปังโฮลวีต ลูกพรุน ผักโขม ถั่วลันเตา สาหร่ายทะเล เป็นต้น
2) โปรตีน ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ให้มากขึ้น และยังสร้างโปรตีนของเม็ดเลือดแดงได้ด้วย แหล่งอาหารที่มีโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ อาทิ หมู ไก่ กุ้ง ปลา และเนื้อ เป็นต้น
3) โฟเลต อาหารเริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้แก่ บร็อกโคลี แคนตาลูป ตับ เนื้อแดง ผักโขม ผักกาดหอม และหน่อไม้ฝรั่ง
4) ทองแดง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี พบในตับลูกพรุนแห้ง เมล็ดทานตะวัน เต้าหู้แข็ง ช็อกโกแลต เป็นต้น
3.อาหารแก้แพ้ท้อง
เมื่อตั้งครรภ์จะกินอะไรก็ลำบาก เพราะกินไปแต่ละทีก็มีแต่อาเจียนออกมา ทำอย่างไรถึงจะหายแพ้ ลองแก้ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ
1) แบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ หลาย ๆ มื้อ เพื่อแก้อาการอยากอาเจียนและเบื่ออาหารของแม่ท้อง
2) จิบน้ำขิงบ่อย ๆ ทีละน้อย เพราะน้ำขิงสามารถแก้อาการคลื่นไส้ได้
3) ติดของว่างไว้ใกล้ๆ ตัว ประเภทขนมปังขิง ขนมปังกรอบ หรือซีเรียลแท่งเล็ก ๆ จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ โดยเฉพาะช่วงที่ตื่นนอนตอนเช้าและกลางคืนดึก ๆ
4.ไขมันและคาร์ไบไฮเดรตนั้นสำคัญ
คุณแม่หลายคนที่กลัวอ้วนมักงดอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะไขมันมีประโยชน์และช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกในครรภ์ โดยเฉพาะไขมันชนิดไม่อิ่มตัว หรือไขมันจากพืช เมล็ดพืช เช่น อโวคาโด พืชตระกูลถั่วเมล็ดทานตะวัน ส่วนไขมันจากปลาก็ได้แก่ ปลาที่ไม่ติดส่วนมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า เป็นต้น
ขณะที่ คาร์โบไฮเดรต คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับพลังงานมากกว่าผู้หญิงทั่วไปถึง 300-500 กิโลแคลอรี ซึ่งแหล่งพลังงานส่วนใหญ่ ก็มาจากแป้ง ข้าว น้ำตาล และผลไม้ ดังนั้น คุณแม่ควรกินอาหารประเภทที่มีกากใยโปรตีน ใยอาหาร เกลือแร่ และวิตามิน รวมอยู่ด้วย อันได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผลไม้ ที่มีกากใย และธัญพืชต่าง ๆ ฯลฯ
5.กินผัก เพื่อลูก
คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนไม่ชอบกินผัก แต่ยามนี้ ผักมีประโยชน์ต่อการตั้งครรภ์ค่ะ ดังนั้นจึงควรพยายามกินให้ได้นะคะ
1) ผักสีเขียว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ขับถ่ายง่าย เริ่มจากผักบุ้งถือเป็นผักที่กินง่ายที่สุด จากนั้นค่อยๆ ไล่ระดับไปจากผักบุ้งเป็นผักตำลึง บร็อกโคลี ผักกาด ผักคะน้า ไปเรื่อยๆ
2) ผักสีขาว ช่วยต้านมะเร็งและช่วยย่อยอาหาร เช่น ผักกาดขาว หัวไชเท้า ที่นำมาทำน้ำซุป และรสหวานไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวทำให้กินได้ง่าย
3) ผักสีส้ม ได้แก่ แครอต ฟักทอง โดยเฉพาะฟักทองนำมาทำเป็นของหวานก็ได้ หากคุณแม่ไม่ชอบอาหารคาว แต่ต้องระวังความหวานจากน้ำตาลที่ใช้ประกอบด้วย
4) ผักสีแดง คุณสมบัติคือช่วยชะลอความแก่ ได้แก่ มะเขือเทศ บีตรูต พริกหวาน
5) ผักสีม่วง ป้องกันอันตรายที่สะสมในเส้นเลือดและป้องกันโรคหัวใจ ได้แก่ กะหล่ำปลีสีม่วง และมะเขือม่วง
6.กินอะไร ให้เหมาะแต่ละไตรมาส
ไตรมาสแรก : 1-3 เดือน
ช่วงนี้คุณแม่ต้องการพลังงานมากขึ้น สามารถกินอาหารได้ตามปกติ แต่ให้เน้นเมนูผักเป็นหลัก เพราะผักจะช่วยการย่อย และระบบขับถ่าย หากมีอาการคลื่นไส้ ผลไม้รสเปรี้ยวช่วยได้ค่ะ
ส่วนเครื่องดื่ม ควรเป็นน้ำผลไม้สด เช่น น้ำแตงโม น้ำส้ม แบบคั้นสดนะคะ ไม่ควรปั่น เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินได้
ไตรมาสที่ 2 : 3-6 เดือน
ควรเน้นผักใบเขียวมากขึ้น โดยเฉพาะที่มีวิตามินสูง เช่น บร็อกโคลี คะน้า ผักบุ้ง แครอต ถั่วงอก มะเขือเทศ
ช่วงนี้ลูกน้อยกำลังเจริญเติบโต ฉะนั้นอาหารบำรุงลูกน้อย อย่างโอเมก้า 3 พวกปลาทะเล และถั่วบางชนิดก็มีความสำคัญค่ะ
คุณแม่ท้องช่วงนี้ อาจจะมีอาการท้องอืดบ้าง การดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิง น้ำตะไคร้ จะช่วยการระบายได้เป็นอย่างดี
ไตรมาสที่ 3 : 6-9 เดือน
ใกล้คลอดเข้าไปทุกทีแล้ว คุณแม่อาจเคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก อาหารที่ควรกินคืออาหารที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย และเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง อาทิ บร็อกโคลี แคนตาลูป ตับ เนื้อแดง ผักโขม ผักกาดหอม และหน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น
7.อาหารต้องห้ามยามท้อง
1) อาหารรสเผ็ด เพราะยิ่งเผ็ดอุณหภูมิในร่างกายยิ่งร้อน คุณแม่จะยิ่งหงุดหงิดอาจส่งผลให้ร้อนในและลำไส้อักเสบได้
2) อาหารหนัก ๆ ย่อยยาก แคลอรีสูง เช่น เค้ก พิซซ่า โดนัท น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายทำงานหนักและเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายอีก
3) อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ไข่ดิบ เนื้อปลา ซูซิ สเต๊กบางอย่างหอยนางรม อาจจะมีสารพิษหรือเชื้อโรคตกค้างอยู่ แม่ท้องกินเข้าไปก็อาจติดเชื้อโรคและเป็นอันตรายได้
4) นมและเนย ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
5) ของหมักดอง ทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย โซเดียมสูง
6) น้ำชา กาแฟ ยิ่งดื่มมาก ร่างกายยิ่งต้องขับน้ำออกมามาก และปัญหาที่ตามมาคือคุณแม่อาจท้องผูกได้
7) ถั่วลิสง ควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วลิสงระหว่างตั้งครรภ์ เพราะอาจกระตุ้นให้ลูกเกิดมาเป็นโรคภูมิแพ้ได้
8) ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาสมองของลูกในครรภ์
8.ใกล้คลอด หลังคลอด เพิ่มน้ำนม
เมื่อใกล้คลอด อาหารที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่คืออาหารที่มีรสร้อน เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายอบอุ่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้มีน้ำนมมากขึ้น ฉะนั้นช่วงนี้คุณแม่ควรกินอาหารที่เน้นน้ำนมเป็นหลัก ซึ่งสมุนไพรไทยหลาย ๆ อย่าง ก็มีสรรพคุณเป็นอาหารรสร้อน เช่น หัวปี ใบกะเพรา กุยช่าย กานพลู มะละกอ ฟักทอง ขิง และใบแมงลัก ซึ่งอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน เหล็ก วิตามินซี โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี เป็นต้น
เมนูแนะนำคือ แกงเลียง ผัดกะเพรา ยำหัวปลี แกงป่าฟักทองผัดไข่ ฟักทองแกงบวด ไก่ผัดขิง ฯลฯ ที่อุดมไปด้วย แคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก อสฟอรัส วิตามินซี เบต้า แคโรทีน ช่วยบำรุงเลือด และทำให้มีน้ำนมเยอะค่ะ
Subscribe to:
Comments (Atom)




